วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประวัติของอูคูเลเล่



ประวัติของอูคูเลเล่

อูคูเลเล่
       
   Ukulele (อูคูเลเล่) เป็นเครื่องดนตรีที่มีต้นกำเนิดมาจากฮาวาย ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 19 หรือเมื่อประมาณ 150 ปีก่อน โดยเริ่มจากที่นักดนตรีโปรตุเกสคนหนึ่งที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมายังชายฝั่ง Hanolulu ของฮาวาย และหอบเอาเครื่องดนตรีคล้ายกีตาร์จิ๋วที่เรียกว่า Cavaquinho มาด้วย จนสร้างความสนใจให้กับชาวพื้นเมืองฮาวายเป็นอย่างมากในสมัยนั้น และในที่สุดก็ได้มีการดัดแปลงเครื่องดนตรีจากโปรตุเกสดังกล่าวให้กลายเป็น อูคูเลเล่ ใช้สำหรับให้ความบันเทิงและสนุกสนานในหมู่เกาะฮาวาย และมันก็ถูกนำไปใช้กันอย่างกว้างขวางในหมู่เกาะนับตั้งแต่นั้นมา จนเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1950 ได้มีการนำอูคูเลเล่ไปเล่นทั่วโลก และได้รับความนิยมอย่างมากมาย จึงทำให้อูคูเลเล่เปลี่ยนจากเครื่องดนตรีพื้นเมืองฮาวาย กลายมาเป็นเครื่องดนตรีสากลในที่สุด

          อูคูเลเล่ ได้รับความนิยมถึงจุดสูงสุดในช่วงปี 1960-1985 เมื่อมีนักดนตรีชื่อดังหลายคนนำเครื่องดนตรีชนิดนี้ไปประกอบเพลง เช่น เจค ชิมาบุคุโร, จอร์จ แฮร์ริสัน, ซารา วัตกินส์ เป็นต้น ทำให้หลาย ๆ คนสรรหาเครื่องดนตรีชนิดนี้มาไว้ในครอบครองบ้าง ด้วยความที่มันเป็นเครื่องดนตรีขนาดเล็ก พกพาได้สะดวก และมีเสียงนุ่มไพเราะเหมือนกับกีตาร์ อีกทั้งยังสามารถเล่นได้หลากหลายรูปแบบ อูคูเลเล่ จึงได้รับความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย

อูคูเลเล่
สิงโต นำโชค กับ Ukulele อูคูเลเล่
         
 ปัจจุบัน อูคูเลเล่ ได้กลายเป็นที่นิยมอย่างมากมายอีกครั้ง และนักร้องนักดนตรีหลายคนก็นำมันไปใช้เป็นดนตรีประกอบเพลงอย่างไพเราะ ไม่ว่าจะเป็น Jack Johnson, Jason Mraz หรือ John Mayer ที่โด่งดัง และผลงานเพลงของพวกเขาก็เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ขณะเดียวกันที่ อูคูเลเล่ ก็ยิ่งมีคนสนใจเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะในแถบยุโรป เอเชีย หรืออย่างบ้านเรา ก็ได้มีการนำอูคูเลเล่มาใช้ในงานดนตรีและการผลิตผลงานดนตรี โดยเฉพาะในแวดวงดนตรีแจ๊ส หรือดนตรีเบา ๆ ฟังสบาย ๆ อย่าง สิงโต นำโชค และ ลุลา กันยารัตน์ ติยะพรไชย หรือจะเป็น นท เดอะ สตาร์ 7 ที่พกเอาอูคูเลเล่มาออดิชั่นด้วยเพลงที่แต่งเอง จนลอยลำผ่านเข้ารอบ 8 คนไปได้อย่างสบาย ๆ ซึ่งก็สร้างความสนใจให้กับหลาย ๆ คน จนตอนนี้อูคูเลเล่ก็เริ่มเป็นที่ต้องการของคนหลาย ๆ คนไปแล้ว

          สำหรับราคาของอูคูเลเล่ในบ้านเรานั้นก็มีตั้งแต่ 1,500 - 50,000 บาท หรือมากกว่านั้นเลยทีเดียว ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้และคุณภาพของเสียงอูคูเลเล่ รวมถึงที่มาของเจ้าอูคูเลเล่ด้วย ซึ่งสามารถเลือกซื้อได้อย่างหลากหลาย อีกทั้งยังมีการเปิดชมรมอูคูเลเล่ขึ้นมา เพื่อให้คนรักอูคูเลเล่เล่นดนตรีชนิดนี้มาโชว์แลกเปลี่ยนกันชมอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความที่มันมีขนาดเล็กและเรียนรู้ได้ง่าย อูคูเลเล่จึงกลายเป็นเครื่องดนตรีฝึกหัดสำหรับมือใหม่หัดเล่นกีตาร์ได้อีกด้วย

ความรู้ของเบสและประวัติ


ความรู้ของเบสและประวัติ

เบส เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย ในทางสากลสามารถเรียกได้ทั้ง electric bass (เบสไฟฟ้า) , electric bass guitar (กีตาร์เบสไฟฟ้า) หรือเรียกสั้นๆว่า bass (เบส) ลักษณะของเบสจะมีรูปร่างใหญ่กว่ากีตาร์ มีโครงสร้างของคอที่ใหญ่และยาวกว่า มีย่านความถี่เสียงต่ำ มีหน้าที่โดยหลักๆในการให้จังหวะ คือคุมจังหวะตาม rhythm, line, pattern และ groove ของดนตรี ในขณะเดียวกันก็สามารถขยายระดับความสามารถการเล่นให้สูงขึ้นตามแนวเพลงและการประยุกต์ใช้ต่างๆ เช่น เทคนิคการ Slap หรือการตบเบส (รวมไปถึงเทคนิคอื่นที่ใช้ร่วมกันกับการ Slap) ในดนตรี Funk, Jazz และอีกหลายแนว การ Tapping การเดิน Improvising การเล่น Harmonics การเล่น Picking เป็นต้น
เบสไฟฟ้าจัดว่าเป็นเครื่องดนตรีที่ถือกำเนิดหลังเครื่องดนตรีอื่นๆในประเภทวงสตริงคือสร้างขึ้นหลัง กีตาร์ กลอง คีย์บอร์ดหรือซินธิไซเซอร์ (รายละเอียดจะมีในหัวข้อประวัติของเบส) เครื่องดนตรีประเภทเบสที่ใช้กันในวงดนตรีและแนวต่างๆก็จะมี เบสไฟฟ้า เบสโปร่งไฟฟ้า fretless bass (เบสไม่มีเฟรต) และ double bass, upright bass บ้างทีก็เรียกกันว่า acoustic bass แต่ก็มีภาษาพูดเรียกกันติดปากสำหรับนักดนตรีบางคนว่า เบสใหญ่
เบสไฟฟ้าที่ใช้โดยทั่วไปจะมี 4 สาย 5 สาย และ 6 สาย ส่วนสายที่มากไปกว่านี้ก็มีเนื่องจากนักดนตรีบางคนอาจจะออกแบบเพื่อประยุกต์ใช้ทางการเล่นเฉพาะตัว
เบส 4 สายการตั้งสายตามมาตรฐานคือ E-A-D-G (เรียงจากต่ำ-สูง) เบส 5 สายคือ B-E-A-D-G ส่วน 6 สายคือ B-E-A-D-G-C แต่อย่างไรก็ตามเบสก็ได้ถูกขยายขอบเขตออกไปตามแนวคิดและการประยุกต์ใช้ของมือเบสต่างๆ จำนวนสายก็อาจจะมีอื่นๆอีก เช่น 3 สาย, 7 สาย, 8 สาย ,9 สาย เป็นต้น

[แก้]ประวัติ

เมื่อกล่าวถึง Bassline เริ่มเป็นที่รู้จักกันในวงการดนตรี โดยเริ่มได้ยิน เช่นในบทเพลงของ J.S. Bach ระหว่างปี 1685-1750 ซึ่ง bassline มีความ สำคัญเฉกเช่นเดียวกับในส่วนของ soprano , alto , tenor เลยที่เดียว โดยในดนตรีคลาสสิก และออร์เคสตราเสียงเบสจะถูกกำหนดขึ้นโดยเครื่องดนตรีที่มีชื่อว่า upright bass หรือ bass viola ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีตระกูลเบสรุ่นแรกในโลก
ต่อมาเมื่อเริ่มมีดนตรีของคนแอฟริกัน คือ Ragtime (ดนตรีแนวเต้นรำของชาวแอฟริกัน) และ New Orleans Jazz โดยมีอุปกรณ์เสียงต่ำที่เล่นจาก brass bass และ tuba เนื่องจากเป็นการเล่นโดยใช้ลมหายใจในการเป่า ที่ใช้ทูบาในการเล่นเป็นจังหวะ 2 beat ใน 1 bar และนี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเพลง jazz และเพลงเต้นรำ
เมื่อเพลงแจ๊ซมีการพัฒนาและเกิดการวิวัฒนาการขึ้นเป็นจังหวะ swing ในปี 1935 การแต่งและการเรียบเรียงดนตรีจึงเกิดมีความซับซ้อนและยุ่งยากตามมา แต่ในขณะนั้น ได้มีในงานดนตรีที่มีชื่อเสียงในวงการเพลงแจ๊ซ เช่น Duke Ellington , Count Basie and Benny Goodman และจังหวะแบบ 4 จังหวะ ใน 1 ห้องเพลง เริ่มเป็นที่แพร่หลายและนำไปใช้กันมากขึ้น ตั้งแต่ที่ brass bass ไม่สามารถที่จะเล่นในจังหวะนี้ได้ Acoustic upright bass จึงได้เป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่ขึ้นมาแทนที่ brass bass อย่างไรก็ตาม Acoustic upright bass ก็มีข้อจำกัดของมันเองอยู่เหมือนกัน ในเรื่อง ของลำตัวที่ค่อนข้างใหญ่พกพายาก และมีน้ำเสียงที่ไม่สามารถดังดีพอและเหมาะสมในการเล่นร่วมกับวงดนตรีประเภท Big band ที่มีเครื่องดนตรีหลากหลายชิ้น เช่น brass จำนวน 7 ตัว ,เปียโน ,กีต้าร์ กลอง สิ่งนี้จึงมีการเกิดปัญหาต่อในหมู่คนเล่นเบส
ต่อมาจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการประดิษฐ์ เบสไฟฟ้าขึ้นมาตัวแรกของโลก เบสไฟฟ้าตัวแรกของโลก ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาโดย Clarence Leo Fender ในปี 1951 จากบริษัท Fender Musical Intrumental Company (บริษัทเดียวกับที่ผลิตกีตาร์ Fender) ร่วมกันผลิตเบสที่มีชื่อรุ่นว่า Precision bass โดย Leo Fender ได้ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อการแก้ไขปัญหาของเบสรุ่นเก่าที่มีปัญหาในเรื่องของเสียงและขนาดที่ใหญ่ของ Acoustic upright bass ซึ่งเขาได้ตั้งชื่อรุ่นว่า Precision bass เพื่อให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย ที่แปลว่า "เบสที่มีความกระชับ " โดยมีการใช้เฟร็ทติดลงบน Fingerboard และ แก้ไขในเรื่องของน้ำเสียงให้ดีขึ้น
American Vintage ‘62 Precision Bass?
Leo Fender กล่าวว่า "พวกเราต้องให้ความเป็นอิสระแก่มือเบสจาก Acoustic upright bassการผลิตเบสจึงเป็นการเกิดอุตสาหกรรมการผลิตเบสขึ้นเป็นครั้งแรก โดยความร่วมมือกับ George Fullerton Precision Bass รุ่นนี้มีการสร้างเฟรทที่ลำคอ มีลักษณะเป็น slab-bodied และ มี 34" scale ต่อมาเบสรุ่นนี้จึงเป็นที่นิยมในหมู่นักดนตรีระดับโลก ในทุก ๆ แขนงทางดนตรี เช่น Monk Montgomery ,Shifti Henri ,Dave Myers
วงของ Vibist Lionel Hampton นับเป็นรุ่นแรกที่นำ P-Bass ไปใช้ในการแสดง โดยมือเบสของเขา คือ Roy Johnson และเบสตัวนี้มีเสียงที่ออกมาได้อย่างน่าทึ่งมาก จากคำวิจารณ์ของ Leonard Feather ซึ่งได้เขียนในนิตยสาร Down Beat เมื่อ 30 กรกฎาคม 1952 หลังจาก Roy Johnson ออกจากวงของ Hampton Monk Montgomery จึงเป็นบุคคลแรกที่สามารถสร้างชื่อเสียงขึ้นจากเบสตัวนี้ แต่เขาก็ยังคงใช้ upright bass ในการเล่นควบคู่กันไปในวงของเขา กับมือกีตาร์คือ Wes Montgomery (มือกีตาร์ฝีมือดีแห่งวงการ) ซึ่งเป็นน้องชายเขา
นอกจากนี้ นักดนตรี Blues ก็นำเอาเบสรุ่นนี้ไปใช้ในบทเพลงเช่นเดียวกัน โดยในปี 1958 Dave Myers ได้นำ Precision Bass ไปใช้ในการบันทึกเสียงเบส ที่สร้างความสำเร็จให้แก่นักดนตรี Blues สมัยนั้นอย่างมากมาย โดย เขาได้พูดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม ปี 1998 ว่า "ผมสร้างความประสบความสำเร็จให้กับ Fender Bass.."

ความรู้เบื้องต้นของกีต้าร์

ความรู้เบื้องต้นของกีต้าร์


สำหรับมือใหม่หัดดีด หรือสำหรับมือเก่าที่ยังไม่ค่อยแน่ใจในคำเรียกต่างๆ เราก็เลยหาเอามาให้อ่านกันครับ

BODY STYLES

ในอคูสติคกีต้าร์ขนาดและลักษณะเป็นตัวบ่งบอกเสียงแบบคร่าวๆ แน่นอนว่าขนาดที่ใหญ่กว่ามักจะได้เสียงที่ดังและมีมวลมากกว่า ขนาดของกีต้าร์มีหลากหลาย มีการวัดขนาดความกว้างช่วงบน และช่วงล่าง หรือ แม้แต่ขนาดความยาวคอที่ต้องสัมพันธ์กัน และอาจแบ่งเป็นประเภทใหญ่ใหญ่ได้ดังนี้

PARLOR

อาจมีข้อยกเว้นในบางรุ่นบางยี่ห้อ แต่เราสามารถบอกว่า PARLOR คือขนาดกีต้าร์ที่เล็กที่สุดจากการวัดขนาดความกว้างชวงล่างได้ที่13 นิ้ว และมี 12เฟรท Parlor มักให้เสียงที่เหมาะกับคนที่เล่น ฟิงเกอร์ ฟิ๊กกิ้ง เนื่องจากขนาดที่เล็กจึงเหมาะกับผู้เล่นที่ตัวเล็กตามไปด้วย

0, 00, 000, และ OM (Concert, Grand Concert, Auditorium, และ Orchestra Model)

ชื่อที่เห็นเป็นการบอกขนาดของกีต้าร์ที่มีขนาดเล็กไปถึงขนาดกลาง มาร์ตินเป็นผู้สร้างสรรค์โดยใช้คำเรียกเหล่านี้ 0, 00, aและ 000 (โอ, ดับเบิ้ล โอ, ทรบเปิ้ล โอ), 
ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการก็มีคือ concert, grand concert, และ auditorium (หรือเรียกว่า grand auditorium ก็ได้) 

ขนาด 13 1/2 นิ้ว คือความกว้างด้านล่างที่วัดได้คือขนาดของ 0-size ซึ่งถูกสร้างขึ้นในกลาง ศตวรรษที่ 19th ณ วันนี้ดูแล้วอาจคาบเกี่ยวกับ parlor

ขนาด 14 1/8 นิ้ว คือความกว้างด้านล่างที่วัดได้คือขนาดของ 00size ขนาดทำให้เสียงมันมีพลังมากขึ้น เล่นได้หลากหลายสไตล์มากขึ้น ทำให้เสียงมี บาลานซ์ ขึ้น อีกทั้งยังให้เสียงอคูสติคที่ดี และให้การควบคุมที่ดีเมื่อใช้ร่วมกับปิ๊กอัพด้วย

ขนาด 15 นิ้ว คือความกว้างด้านล่างที่วัดได้คือขนาดของ 000-size และนี่คือขนาดที่เป็นต้นแบบของกีต้าร์ขนาดเล็กอีกมากมาย ซึ่งให้เสียงที่มีความสมดุลมาก ระหว่างความดัง เสียง แหลม และ เสียงต่ำที่เหมาะสมกัน รวมไปถึงขนาดที่เหมาะเล่นง่าย 
ส่วนคนที่สงสัยเรื่อง OM นั้นเป็นคำที่นิยามโดย มาร์ติน ขนาดนั้นเทียบได้กับรุ่น OOO แต่จะมีความยาวคอ และคอที่กว้างวัดที่ nut (OMเท่ากับ 1 3/4 inches สำหรับ OOO 1 11/16 )

SMALL JUMBO

ขนาดของ SMALL JUMBO ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน จากการใช้รูปร่างของ JUMBO มาย่อให้เล็กลง โดยวัดความกว้างได้ 16 นิ้ว small jumbo อาจดูคล้าย 000 ขยายส่วน โดยมีช่วงเองที่ขอดกว่า และมีความหนาที่มากกว่า 000 และ OM ซึ่งได้รับความนิยมมากสำหรับคอ ฟิงเกอร์สไตล์

DREADNOUGHT


สร้างขึ้นโดย มาร์ตินในช่วงปี 1920  dreadnought ได้รับความนิยมจนกลายเป็นทรงที่เจนตา มีขนาดวัดได้ 15 5/8 นิ้ว ช่วงเอวที่ดูไม่ขอดนัก อีกทั้งมีความหนามีมากกว่ารุ่นอื่นๆ ทำให้มีเสียงที่ดัง และ อิ่มมากขึ้นทำให้เหมาะกับเพลงที่หลากหลาย โดยเฉพาะ bluegrass อย่างไรก็ดีมันสามารถนำไปใช้ได้กับการ strumming และ fingerstyle ได้เหมือนกัน

JUMBO

เป็นขนาดที่สร้างโดย Gibson ในช่วงปี 1937 กับรุ่น J-200 กับขนาดต่างๆที่กล่าวมามักมีแบบเพลงที่เหมาะสมกับขนาดและรูปร่าง แต่ดูเหมือนว่า jumbo มีความหลากหลายมากที่สุด หากวัดขนาดตามการสร้างสรรค์ของ Gibson คือขนาด 16 11/16 นิ้ว เหมาะกับเพลงทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็น ตีคอร์ด หรือแม้ ฟิงเกอร์ปิ๊กกิ้ง



BODY WOODS

หากไม่นับกีต้าร์ที่ทำจาก ไฟเบอร์ กีต้าร์ส่วนใหญ่ทำมาจาก ไม้ อคูสติกกีต้าร์นั้น ไม้หน้ามีความสำคัญมาก เพราะสายที่พาดผ่านจนไปถึง บริดจ ์
หลักใหญ่ของการใช้ไม้ก็คือ หากเป็นไม้หน้า ก็จะต้องเลือกไม้ที่มีความแข็งแรง แต่มี น้ำหนักเบาี spruce จึงได้รับความนิยมสูง และก็มีบ้างที่ใช้ cedar, redwood, mahogany, หรือ  koa ส่วนไม้ด้านข้างและหลังนั้นช่วยสร้างโทนเสียงให้กับเสียงโดยรวม ไม้ที่ได้รับความนิยมจึงเป็นไม้ที่แข็งและไม้ที่ได้รับคววามนิยมมากคือ rosewood, mahogany, และ maple

LAMINATED vs. SOLID


และนี่เป็นอีกอย่างที่คนคำนึงถึง ความเป็นไม้แผ่นเดียว(solid)  และการนำไม้มาอัดซ้อนกัน (laminated) ไม้อัดนั้นสามารถเลือกให้ไส้กลางเป็นไม้ที่ไม่มีคุณภาพมากนักจึงทำให้มีราคาที่ถูกลง
สำหรับไม้หน้า ไม้ที่เป็นชิ้นเดียวจึงถูกนำมาใช้มากที่สุด เพราาะหากเป็นไม้อัดซ้อนกัน การสั่นสะเทือนจะทำได้ไม่ดีนัก อีกทั้งมีความสำคัญต่อโครงสร้าง และ ต่อคุณภาพเสียงมากอีกด้วย ไม้ชิ้นเดียวจะมีความเป็นธรรมชาติอีกข้อหนึ่งคือ เสียงจะพัฒนาไปตามกาลเวลา
สำหรับไม้ข้างและหลัง การสั่นสะเทือนนั้นมีผลน้อยลงกว่าการสะท้อนจึงสามารถเลือกใช้ไม้แบบอัดซ้อนกันได้ อีกทั้งปัญหาการแตกร้าวก็ลดน้อยลงตามไปด้วย จึงเป็นข้อดีของไม้ประเภทนี้
คุณสามารถเห็นรอยซ้อนทับกันที่ขอบ ซาว์นโฮล หากเป็นไม้อัดซ้อนกันที่ไม้หน้า ส่วนไม้หลังและข้างก็สามารถเห็นได้เช่นกันเมื่อถอดหมุดที่ใต้กีต้าร์ออก(endpin)

กลองชุด



กลองชุด (อังกฤษDrum kit) เป็นเครื่องดนตรีประเภทตีกระทบ ประกอบด้วยกลองหลายใบ และฉาบ โดยใช้ผู้เล่นคนเดียว ถือไม้ตีกลองและฉาบทั้งสองมือ และใช้เท้าเหยียบกระเดื่อง เพื่อตีกลองใหญ่ และ Cymbals กลองชุดเป็นที่นิยมใช้กับงานดนตรีเกือบทุกประเภท


[แก้]ส่วนประกอบ

เครื่องดนตรีในกลองชุด ประกอบด้วย

  • กลองเล็ก หรือ สะแนร์ดรัม (Snare drum) ประกอบด้วยแผงลวดขึงรัดผ่านผิวหน้ากลองด้านล่าง เพื่อให้เกิดเสียงกรอบ ๆ ดังแต๊ก ๆ ตัวกลองทำด้วยไม้หรือโลหะ และสามารถรัดให้หนังตึงด้วยขอบไม้ด้านบนและล่าง สามารถปลดสายสะแนร์เพื่อให้เกิดเสียงทุ้มดังตุ้มตุ้มได้ และตีกลองเล็กด้วยไม้ นิยมใช้กลองชนิดนี้ทั้งในวงดุริยางค์และวงดนตรี

  • กลองทอม (Tom-tom drum) หรือ เทเนอร์ดรัม (Tenor drum) มีขนาดใหญ่กว่าสะแนร์ดรัม เป็นกลองชนิดที่สร้างขึ้นโดยไม่ใช้สายสะแนร์ โดยทั่วไปบรรเลงในหมวดกลอง ใช้ไม้ชนิดหัวไม้หุ้มสักหลาด

  • กลองใหญ่ หรือ กลองเบส (Bass drum) เป็นกลองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ประกอบด้วยตัวกลองที่ทำด้วยไม้และมีหนังกลองทั้งสองด้าน เสียงที่เกิดจากการตีกลองใหญ่จะไม่ตรงกับระดับเสียงที่กำหนดไว้ทางตัวโน้ต ตีด้วยไม้ที่มีสักหลาดหุ้ม ชนิดที่มีหัวที่ปลายทั้งสองข้าง ใช้เพื่อทำเสียงรัว

  • กลองทิมปานี (หรือกลองเค็ทเทิ้ลดรัม) เป็นกลองที่มีลักษณะเป็นหม้อกระทะ ซื่งมีหน้าหนังกลองหุ้มทับอยู่ด้านบน เป็นกลองชนิดเดียวที่ขึ้นเสียงแล้วได้ระดับเสียงที่แน่นอน เมี่อคลายหรือขันหน้ากลองโดยใม่ว่าจะใช้วิธีขันสกรูหรือเหยียบเพดดัล (ที่เหยียบ) ก็ไดั ไม้ที่ใช้ตีมีการหุ้มนวมตรงหัวไม้ตี ตีได้ทั้งเป็นจังหวะและรัว

  • ฉาบ หรือ เชมเบล (Cymbal) มีอยู่2ชนิดคือฉาบที่ใช้กับกลองชุดและฉาบที่ใช้เดิน